ติดต่อจองทัวร์ที่ Global Tour Planner Tel.0866677011, e-mail: globaltourplanner@gmail.com
สถานที่: เลห์ ลาดักห์ อินเดีย
ระยะเวลา: ·9 วัน (เทรค 6 วัน)
ระดับความยาก: ยาก
ระดับความสูงจากน้ำทะเลที่สูงที่สุดในทริป: 11,123 ฟุต หรือ 3,390.29m (1 foot = 0.3048 meters)
ระยะทางทั้งหมดในทริป (โดยประมาณ): 75 ก.ม.
ทริปนี้เหมาะกับใคร: เหมาะกับผู้ที่ชอบการผจญภัย ไม่ขี้กลัว อยู่ง่ายกินง่าย มีร่างกายแข็งแรงพอประมาณ ไม่ต้องถึงกับเป็นนักกีฬา หรือ นักเดินป่ามืออาชีพ
ลาดักห์…คือดินแดนแห่งเขาสูง มีฤดูหนาวที่ยาวนาน หิมะจะปกคลุมทุกอย่าง บนนถนนมีหิมะทับถมในระดับสูง ในช่วงเดือน พ.ย. – มี.ค. บางหมู่บ้านสามารถเข้าถึงได้เพียงทางเดียว คือเดินเท้าผ่านแม่น้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง
Chadar Trek ….คือเส้นทางสายสำคัญเส้นทางเดียวที่จะยังคงเชื่อมต่อหมู่บ้านต่างๆในหุบเขาซานสการ์ กับ ต้นทางรถยนต์เพื่อเข้าสู่เลห์ ที่เมือง Chilling
เส้นทางเชดาร์เทรคนี้ ถูกใช้เป็นเส้นทางการค้า และทางสัญจรมากว่าศตวรรษ และเวลาที่ดีที่สุดจะอยู่ในช่วงกลาง ม.ค. – ก.พ. เพราะน้ำแข็งจะแข็งมากพอที่จะเดินบนผิวแม่น้ำได้
แม่น้ำซานสการ์ เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่มีน้ำเชี่ยว ช่วงตั้งแต่ Chilling ไปจนถึง หุบเขาซานสการ์ แม่น้ำจะไหลผ่านหุบเขาลึก คดเคี้ยวไปในช่องระหว่างหน้าผาชัน ในช่วงตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ไปจนถึงกุมภาพันธ์ อากาศจะเย็นจัดจนพื้นผิวของแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง โดยใต้ผิวน้ำแข็งลงไปไม่กี่นิ้ว สายน้ำที่เย็นจัดก็ยังคงไหลไม่หยุด
ฤดูกาลของ Chadar Trek เริ่มขึ้นเมื่อความหนาของน้ำแข็งบนผิวแม่น้ำหนามากพอที่จะรับน้ำหนักของคนและสัมภาระได้ การเทรคนี้ถือเป็นเทรคที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลกเส้นหนึ่ง เป็นเส้นทางเทรคที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนๆ
การเทรคเริ่มต้นหลังจากที่นั่งรถไปลงที่ Chilling จุดสุดท้ายที่รถสามารถไปถึงได้ จากนั้นก็เริ่มเทรคเข้าไปในช่องเขา เมื่อผ่านช่องเขาเข้าไปในหุบเขาก็จะต้องตะลึงกับวิวที่ทำให้คุณแทบหยุดหายใจไปกับความงามที่โอบล้อมด้วยยอดเขาน้ำแข็ง แท่งน้ำแข็งที่ย้อยลงมาตามหน้าผา ยามราตรีคณะจะพักแรมในถ้ำ โดยทีมงานจะทำแค้มป์ไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
ในทุกวัน เราจะเริ่มเทรคกันราว เก้าโมงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์เริ่มส่งความอบอุ่นผ่านฟ้าใสลงมาสู่พื้นดิน เราจะเดินไปตามทางของแม่น้ำ Tsarap ในเขต Nyerag, Lingshed และเขตต่างๆจนถึงซานสการ์
การมีไกด์ที่มีประสบการณ์ไปด้วยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ เพราะการเดินบนน้ำแข็งที่ปกคลุมด้วยหิมะหนานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเดินไปตามขอบแคบๆของน้ำแข็ง ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูง อีกด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำลึกและเชี่ยวกราด หากลื่นตกลงไปในแม่น้ำ ไม่เพียงแต่จะต้องทรมานกับความหนาวเย็น แต่อาจจะอันตรายถึงชีวิต หากประมาทเพียงนิดเดียวก็อาจพลาดตกลงไปได้
จริงๆแล้วหากทำตามคำแนะนำของไกด์ผู้มีประสบการณ์ Chadar Trek ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
เป็นที่น่าเสียดายว่า Chadar Trek จะหายไปภายใน 5 ปี เพราะขณะนี้ทางการอินเดียกำลังเร่งสร้างถนนตัดเข้าสู่หุบเขาซานสการ์ตามเส้นทางเทรคนี้ เมื่อนั้น Chadar Trek ก็จะสิ้นสุดลง จบตำนานเส้นทางเดินโบราณเส้นนี้อีกเส้น แทนที่ด้วยความเจริญในรูปของถนนและรถยนต์ แต่ก็เป็นผลดีกับชาวบ้านที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงหน้าหนาว
ความจริงการเข้าถึงหุบเขาซานสการ์สามารถไปได้ทางรถ แต่ต้องอ้อมไปจนถึงเมืองคาร์กิล และผ่านหุบเขาซูรูกว่าจะถึงซานสการ์ก็ใช้เวลาหลายวันแม้จะเป็นทางรถก็ตาม และในช่วงฤดูหนาว ถนนมักจะถูกทับถมด้วยหิมะจนไม่สามารถขับรถผ่านได้ เส้นทางตามแม่น้ำซานสการ์จึงช่วยย่นระยะเวลาได้มาก และดูแลได้ง่ายเพราะใกล้เมืองเลห์มากกว่า
หลายศตวรรษแล้วที่ชาวบ้านใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เมื่อถนนเข้าสู่หุบเขาซานสการ์ถูกปิดเพราะหิมะที่ทับถม ชาวบ้านจึงใช้โอกาสที่แม่น้ำซานสการ์เป็นน้ำแข็ง ใช้เป็นเส้นทางสัญจรเพื่อเข้าสู่เลห์ สำหรับชาวบ้านแล้ว หากตั้งต้นจากเมืองพาดุม เมืองเอกในหุบเขาซานสการ์ต้องใช้เวลาราว 8 วันเพื่อเดินทางมายังเลห์ เมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ โดยระหว่างทางจะแวะพักค้างคืนในถ้ำเพื่อหลบหนาว
อุณหภูมิอาจลงไปจนถึง -30 ถึง -35 องศาเซลเซียส
คำว่า Chadar เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่า ผ้าห่ม เหตุเพราะพื้นผิวที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ชาวบ้านจึงเรียกพื้นผิวแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็งนี้ว่า Chadar และการเดินเทรคเส้นนี้ว่าเป็น Chadar Trek
Brief itinerary
Day 1 :- Fly to Leh 3500m
Day 2 : Leh – acclimization
Day 3 :- Leh – Chilling
Day 4 :- Trek starts: Chilling – Shingrak (Ice-Trek)
Day 5 :- Shingrak – Tib Bago (Ice-Trek)
Day 6 :- Tibb Bago – Naerak Phulu (Ice-Trek)
Day 7 :- Naerak – Hotong Blo
Day 8 :- Hotong – Leh
ก่อนการเดินทาง
ท่านที่มีปัญหาโรคหัวใจ โรคความดัน โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ SLE ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจร่วมทริป เนื่องจากลาดักห์อยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกินกว่า 3000เมตร และมีปริมาณออกซิเจนในอากาศบาง จะมีผลกับการสูบฉีดโลหิต ซึ่งจะเป็นอันตรายกับผู้ป่วยได้
รายละเอียดการเดินทาง
วันแรก บินสู่เลห์
ในฤดูหนาว การเดินทางมายังลาดักห์มีเพียงหนทางเดียวคือ บินเข้าไปยังเมืองเลห์ เมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ แคว้นลาดักห์ตั้งอยู่ในรัฐจัมมูแคชเมียร์ อยู่ทางเหนือสุดของประเทศอินเดีย มีพรมแดนติดกับทิเบต เป็นส่วนหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่ ในฤดูหนาว ตั้งแต่เดือน ต.ค. ถึง พ.ค. การสัญจรทางถนนจะถูกหิมะปกคลุมจนหลายเส้นทางต้องปิด จนกว่าหิมะจะละลาย
ท่านจะเริ่มพบประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงตั้งแต่เครื่องบินออกจากกรุงเดลลี ราวครึ่งชั่วโมง ตลอดทางจะเป็นทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมาลัย ผ่านเส้นทางสุดคลาสสิค เหนือทางหลวงมะนาลี-เลห์ จนเข้าสู่เขตเมืองเลห์
ที่เมืองเลห์ ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนเข้าสู่ทิเบต ที่ยังมีความเป็นทิเบตมากกว่าทิเบตในปัจจุบันเสียอีก ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธแบบทิเบต เนื่องจากเลห์อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 3000เมตร เมื่อเดินทางมาถึงจึงต้องใช้เวลาปรับตัว โดยในวันแรกเราแนะนำให้ท่านพักผ่อน ไม่ควรมีกิจกรรมใดๆมากนัก เคลื่อนไหวช้าๆ ดื่มน้ำมากๆ ทำตัวให้อุ่น และที่สำคัญระวังอย่าให้เป็นหวัด เพราะการเป็นหวัดในที่สูงจะทำให้ร่างกายท่านอ่อนแรงยิ่งขึ้น หากรู้สึกว่าร่างกายไม่ไหว ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วน หากร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับที่สูงและออกซิเจนบางได้ อาจต้องรีบนำตัวกลับสู่ที่ต่ำ
หากท่านใดต้องการที่จะหาซื้ออุปกรณ์การเทรค เช่น รองเท้าบูท ถุงมือ ถุงเท้า ถุงนอน และอื่นๆ ก็สามารถหาซื้อได้ในร้านขายอุปกรณ์เทรคกิ้งซึ่งยังคงเปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว
คืนนี้เราพักค้างคืนในเลห์
วันที่สอง เลห์ – ปรับร่างกาย
วันที่สาม เดินทางสู่เมือง Chilling
ช่วงเช้า ท่านสามารถตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นบนเจดีย์เพื่อสันติภาพ Shanti Stupa ได้ ณ ที่นั่นท่านจะได้เห็นวิวของเมืองเลห์แบบพาโนรามา และเห็นยอดเขา Stok Kangri ที่คอยส่งสัญญานเรียกให้เราปีนขึ้นไปหา
ในวันนี้เราจะนั่งรถไปยังเมือง Chilling ทางคดเคี้ยวไปตามแม่น้ำสินธุ (Indus River) ไปยังหมู่บ้าน Nimu ที่ซึ่งแม่น้ำสินธุ บรรจบพบกับ แม่น้ำซานสการ์ จอดให้ท่านถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จากนั้นมุ่งหน้าต่อไป ทางเริ่มลาดลงไปหาแม่น้ำ บางช่วงอาจมีเสียว เพราะทางอาจจะชันบ้าง และต้องวิ่งบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ถนนทอดยาวผ่าน Chilling ไปยัง Tilad รถพาท่านไปจนสุดทาง ทีมงานลูกหาบจะล่วงหน้าไปตั้งแค้มป์ที่ริมฝั่งแม่น้ำซานสการ์ วันนี้ทีมงานจะจัดแบ่งของให้ลูกหาบขนระหว่างเทรค ท่านสามารถเดินรอบๆ หรือปีนไปบนยอดเขาเพื่อดูวิวแม่น้ำน้ำแข็ง หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน อุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างมาก
วันที่สี่ Tilad Do to Shingrak (Ice-Trek)
วันนี้เป็นวันแรกของการเทรค เราจะเทรคไปยัง Shingrak ผ่านทาง Telat Sumdo ระหว่างทางเป็นป่า และเราจะได้เริ่มการเทรคบนแผ่นน้ำแข็ง ไกด์บรรยายสรุปถึงวิธีการเดินบนแผ่นน้ำแข็งก่อนเริ่มเดินกัน แผ่นน้ำแข็งอาจแตกต่างกันหลายรูปแบบ อาจจะทั้งเป็นแผ่นน้ำแข็งที่ลื่น แข็งและเย็น หรือ อาจจะเป็นแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แผ่นน้ำแข็งอาจจะหนา หรือ อาจจะบาง ควรจะปฎิบัติตามคำแนะนำของไกด์อย่างเคร่งครัด สำหรับคนท้องถิ่นแล้ว จะมีความชำนาญในการทราบว่าควรจะเหยียบลงบนส่วนไหนของแผ่นน้ำแข็ง ก้าวแรกที่เหยียบลงบนแผ่นน้ำแข็ง ท่านอาจจะยังไม่คุ้นชิน ต้องใช้เวลาซักระยะในการปรับตัว
ระหว่างการเทรคบางครั้งอาจจะต้องเดินลุยน้ำเย็นเฉียบความลึกประมาณข้อเท้า หรือ อาจต้องมีการปีนหน้าผาริมแม่น้ำด้วย แต่เมื่อนั้นท่านก็จะคุ้นชินกับการเดินบนแผ่นน้ำแข็งแล้ว ให้ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างเล่นเลื่อนและสเก็ตน้ำแข็ง
วันนี้พวกเราจะผ่านถ้ำอย่างน้อย 5-6 ถ้ำที่ Telat Sumdo ถ้ำแต่ละแห่งสามารถพักอยู่ได้ 6-7 คน กว้างประมาณ 5-6 เมตร ถ้าโชคดี คุณอาจจะได้เจอกับเสือดาวหิมะ
พวกเราจะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ถ้ำ Maraklaga Bago (Maraklaga แปลว่า โคลน/ดิน สีขาว และ Bago แปลว่า ถ้ำ) โดย พ่อครัวและทีมงานจะปรุงอาหารร้อนๆให้ท่านทาน สิ่งสำคัญที่ท่านต้องปฏิบัติตลอดเวลาคือการดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อปรับการไหลเวียนของเลือดให้ร่างกายได้ปรับตัวกับสภาพอากาศที่บางได้ดี
ในวันนี้ต้องเดินราว 12 ก.ม. บนแผ่นน้ำแข็ง (Chadar)
วันที่ห้า Shingrak to Tibb Cave
ในวันนี้ส่วนที่ท้าทายที่สุดคือการเอาตัวออกมาจากถุงนอนอันอบอุ่น เพื่อมาเจอกับอากาศที่จุดเยือกแข็งข้างนอก แต่คุณก็จะได้รับความอุ่นจากชาร้อนๆที่เราจะเสริฟให้
วันนี้เริ่มขึ้นเหมือนทุกวัน ตื่น 7 โมงเช้า อาหารเช้า 8 โมง และเริ่มเดินราว 8.30น. – 9.00น. วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินไกลที่สุด แต่กลับเป็นผลดี เพราะการเดินทำให้ร่างกายอบอุ่น ลดความหนาวเย็นได้มาก
วันนี้เราจะเดินเข้าไปในหุบเขาซานสการ์ แสงแดดจะถูกบดบังจากกำแพงภูเขาอันสูงใหญ่ มีถ้ำมากมายระหว่างทาง ทั้งเล็กทั้งใหญ่ และวันนี้เราจะได้เห็นน้ำตกใหญ่ที่แข็งเป็นน้ำแข็งสองแห่งด้วย
มีนิทานปรัมปราเล่าว่า หลายร้อยปีก่อน หมู่บ้านแถวนั้นขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านจึงเดินทางไปขอน้ำในดินแดนทิเบต พวกเขาได้รับกล่องมาหนึ่งกล่อง ซึ่งผู้ให้กำชับว่าห้ามเปิดดูจนกว่าจะถึงหมู่บ้าน แต่ด้วยความกระหายใคร่รู้ พวกเขาเลยเปิดกล่องดู ณ ที่ตรงนี้ เมื่อกล่องถูกเปิดออกก็ปรากฎปลาสองตัวกระโดดออกมาจากกล่อง เกิดเป็นน้ำตกสองแห่งนี้ หนึ่งในน้ำตกนั้นมีความแปลกประหลาดเกิดขึ้น คือ น้ำไม่กลายเป็นน้ำแข็งแม้ในฤดูหนาว และยังมีมอสขึ้นอยู่บนหินใต้น้ำตกอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นที่เดียวที่มีสีเขียวของพืชที่ท่านจะได้เห็นในการเดินเทรคครั้งนี้
ระหว่างทางเราจะแวะที่ Tsomodo ซึ่งเป็นชายแดนเชื่อมไปยังทิเบตได้ พักรับประทานอาหารกลางวันที่ Tutu Rong Tib Bago ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในเส้นทาง สามารถจุคนได้ถึง 50 คนเลยทีเดียว (Tib หมายถึง ร่มเงา)
คืนนี้เราตั้งแต่แค้มป์กันในถ้ำใหญ่ ที่ Tibb
วันที่หก Tibb Cave to Naerak
วันนี้จะเป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการเทรคครั้งนี้ พวกเราจะเดินข้ามแม่น้ำเข้าไปในโตรกเขา ไปจนเจอบริเวณดงสนจูนิเปอร์ ที่ชาวบ้านนำธงมนตรามาแขวนไว้เต็มไปหมด ถ้าท่านต้องการจะแขวนธงมนตราเพื่อควาเป็นศิริมงคล สัญลักษณ์ของความโชคดี และสุขภาพดี ก็สามารถเตรียมธงมนตราแล้วไปแขวนที่นี่ได้ ใกล้ๆกันมีน้ำตกใหญ่ ท่านจะเห็นแสงอาทิตย์สะท้อนกับน้ำแข็งหลากสีสรร ถัดไปมีสะพานข้ามแม่น้ำที่ใช้สำหรับข้ามแม่น้ำซานสการ์ไปยังเลห์ในฤดูร้อน
หมู่บ้าน Naerak อยู่เหนือแม่น้ำขึ้นไปหลายฟุต ท่านสามารถเทรคขึ้นไปที่หมู่บ้าน ไปดูวิถีชีวิตของชาวซานสการ์ แล้วค่อยลงมายังแค้มป์ที่จะตั้งไว้ใกล้กับแม่น้ำ
วันที่เจ็ด Naerak to Hotong bio
ระหว่างทางท่านจะได้เห็นคนท้องถิ่นที่สวนชุดกันหนาวแบบดั้งเดิมซึ่งทำจากขนสัตว์เรียกว่า Gonchas บางครั้งก็จะได้พบเห็นพระลามะที่เดินทางจาก Lingshed Monastery ไปยังเลห์ และบ้างก็เป็นผู้ปกครองที่พาเด็กนักเรียนเดินทางไปยังเลห์เพื่อไปให้ทันโรงเรียนเปิดหลังวันหยุดฤดูหนาวผ่านไป ชาวบ้านพวกนี้สามารถปรับตัวกับสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี เพราะในหมู่บ้านที่พวกเขาอยู่อุณหภูมิติดลบ ใบหน้าของพวกเขายังคงเปื้อนรอยยิ้มที่อบอุ่นต้อนรับนักเดินทางจากต่างแดนเช่นพวกเราเสมอ
วันที่แปด Hotong – Leh
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเทรคน้ำแข็ง อยากให้ท่านดื่มด่ำจดจำความงามอันบริสุทธิ์ของแม่น้ำน้ำแข็งนี้ให้เต็มอิ่ม เพราะเมื่อเราถึง Hotong แล้วเราก็ต้องโบกมือลาซานสการ์เพื่อเดินทางทางรถกลับไปยังเลห์
วันที่เก้า ร่ำลาเลห์
วันนี้ท่านจะร่ำลาเลห์เพื่อบินกลับไปยังพื้นราบ เหลือไว้แต่ความทรงจำกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต
การเดินทางเข้าเลห์
ในฤดูหนาว สามารถเดินทางเข้าไปเลห์ได้ทางเดียวคือทางเครื่องบิน โดยบินจากเดลลีไปยังเลห์โดยสารการบินในประเทศดังนี้
Jet Airways, Air India, Go Air โดยมีบินทุกวัน วันละไฟล์ท แนะนำให้จองล่วงหน้านานๆ เพื่อจะได้ราคาที่ถูก เพราะราคาอาจดีดขึ้นสูงถึงเที่ยวละหมื่นบาทเลยทีเดียว ราคาอยู่ระหว่าง 2,000 บาท – 1x,000 บาท ต่อเที่ยว
Jet Airways และ Air India จะบินจากอาคารระหว่างประเทศ Terminal 3 อาคารเดียวกับที่บินไป-กลับ ระหว่าง เดลลี – กรุงเทพฯ
ส่วน Go Air จะบินจาก Terminal 1D ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารระหว่างประเทศไปราว 7 ก.ม.
อัตราค่าบริการ ท่านละ 22,000 บาท สำหรับกรุ๊ป 3 คนขึ้นไป
อัตรานี้รวม
- อุปกรณ์การพักแรมระหว่างการเทรค เช่น เต็นท์
- อาหารระหว่างการเทรค (จะมีพ่อครัวคอยปรุงอาหารให้ทานตลอดการเทรค)
- ไกด์ผู้มีประสบการณ์การเทรคน้ำแข็ง พร้อมทีมงาน
- ลูกหาบ
- รถรับส่ง จากเลห์ไปยัง จุดเริ่มต้นการเทรค
- ประกันการเดินทาง วงเงิน 1,000,000 บาท
อัตรานี้ไม่รวม
- ตั๋วเครื่องบิน (กทม – เดลี / เดลี – เลห์)
- วีซ่าอินเดีย (ต้องไปทำด้วยตัวเองทุกคน ค่าธรรมเนียม ท่านละ 2,080บาทสำหรับสัญชาติไทย)
- ที่พักและอาหารในเลห์
- อุปกรณ์การเดินเทรคส่วนตัว เช่น ไม้เท้า, รองเท้า, crampons, ถุงนอน (มีให้เช่าในเลห์) ควรใช้ 2 ชั้น, รองเท้าบูธ (กันน้ำ) สูงเกือบถือเข่า เป็นต้น
ช่วงที่ดีที่สุดของการเทรคน้ำแข็ง
กลางเดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ แต่ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพอากาศ เพราะต้องแน่ใจว่าแม่น้ำแข็งเป็นน้ำแข็งพอที่จะเดินเทรคบนน้ำแข็งได้
ควรจองทัวร์เมื่อไหร่
แนะนำควรจองล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 6 เดือน เพราะตั๋วเครื่องบินภายในประเทศระหว่างเดลี – เลห์ จะได้ไม่แพงจนเกินไป หากจองช้าราคาอาจดีดตัวไปถึง หมื่นบาทต่อเที่ยวเลยทีเดียว